ในโลกของการพัฒนาซอฟต์แวร์ คำว่า “คุณภาพ” ไม่ใช่แค่คำที่ฟังดูดี แต่เป็นสิ่งที่ต้องสร้างและรักษาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในยุคที่ธุรกิจต้องแข่งขันกันด้วยประสบการณ์ดิจิทัลที่ราบรื่น QA Testing จึงกลายเป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้มั่นใจว่า QA Software ของคุณพร้อมใช้งานและตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้อย่างแท้จริง
QA Testing คืออะไร? ทำไมถึงสำคัญกับธุรกิจของคุณ?
QA Testing หรือ Quality Assurance Testing คือกระบวนการตรวจสอบและทดสอบซอฟต์แวร์เพื่อค้นหาข้อบกพร่อง (bugs) และปัญหาต่างๆ ก่อนที่ผลิตภัณฑ์จะถูกส่งถึงมือผู้ใช้งาน QA คืออะไร หลายคนอาจสงสัย ความจริงแล้ว QA หรือ Quality Assurance เป็นส่วนสำคัญในวงจรการพัฒนาซอฟต์แวร์ (SDLC) ที่ช่วยรับประกันว่าระบบที่พัฒนาขึ้นมีคุณภาพ ทำงานได้ตามวัตถุประสงค์ และมีความน่าเชื่อถือ
การทำ QA Testing ไม่เพียงแค่ช่วยลดความเสี่ยงจากข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นเมื่อใช้งานจริง แต่ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว เพราะการแก้ไขปัญหาหลังจากที่ระบบถูกใช้งานแล้วมักมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าหลายเท่า ไม่นับรวมความเสียหายต่อชื่อเสียงและความเชื่อมั่นของลูกค้าที่อาจเกิดขึ้น
Software Tester VS QA: เหมือนหรือต่างกันอย่างไร?
หลายคนมักสับสนระหว่างคำว่า “Software Tester คือ” อะไรและ “QA tester คือ” อะไร เพราะทั้งสองตำแหน่งต่างก็เกี่ยวข้องกับการทดสอบซอฟต์แวร์ แต่ความจริงแล้ว มีความแตกต่างในแง่ของขอบเขตความรับผิดชอบและมุมมองการทำงาน:
Software Tester (นักทดสอบซอฟต์แวร์)
- เน้นการค้นหาบัก – มุ่งเน้นการตรวจสอบและค้นหา Bug, Defect หรือ Issue ให้ได้มากที่สุด
- ขอบเขตแคบกว่า – มักดูแลเฉพาะการทดสอบส่วน Unit Testing และ Integration Tests
- ทักษะเฉพาะด้าน – ต้องแม่นยำในเรื่องการใช้เครื่องมือตรวจสอบข้อบกพร่องของโปรแกรม
- เป้าหมาย – มุ่งเน้นปล่อย QA Software ออกสู่ตลาดพร้อมบักที่น้อยที่สุด
QA (Quality Assurance)
- เน้นการป้องกัน – มุ่งเน้นการป้องกันการเกิด Bug และวางกระบวนการที่มีประสิทธิภาพในการทดสอบ
- ขอบเขตกว้างกว่า – รับผิดชอบทุกส่วนของการประเมินคุณภาพซอฟต์แวร์ ตั้งแต่การคิด Requirement ไปจนถึงการดูแลกระบวนการทดสอบทั้งหมด
- ความรู้ด้านธุรกิจ – ต้องมีความรู้ในเรื่องอุตสาหกรรมและธุรกิจที่เป็นผู้ใช้งานซอฟต์แวร์
- เป้าหมาย – มุ่งเน้นปล่อยซอฟต์แวร์ที่มีคุณภาพสูงออกสู่ตลาด โดยควบคุมทั้งวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์
อย่างไรก็ตาม ในหลายองค์กร ขอบเขตงานของทั้งสองตำแหน่งอาจมีความซ้อนทับกันหรือถูกกำหนดแตกต่างกันไปตามโครงสร้างและความต้องการของแต่ละบริษัท ตำแหน่ง Engineer QA ในบางองค์กรอาจรวมบทบาทของทั้ง QA และ Tester เข้าด้วยกัน การพัฒนาแอปพลิเคชันที่มีคุณภาพจำเป็นต้องมีทั้งสองบทบาทนี้ทำงานร่วมกัน
ประเภทของการทดสอบ: Manual VS Automated
ในการทดสอบซอฟต์แวร์ มีวิธีการหลัก 2 แบบที่นักทดสอบและ QA ใช้กัน ซึ่งแต่ละแบบมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน การเลือกวิธีที่เหมาะสมเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการ Q&A Testing ที่มีประสิทธิภาพ:
Manual Testing (การทดสอบด้วยมือ)
Manual Testing คือ การที่นักทดสอบจำลองตัวเองเป็นผู้ใช้งานจริง ทดลองใช้ซอฟต์แวร์ตามขั้นตอนที่วางแผนไว้ คอยสังเกตและบันทึกผลลัพธ์ว่าตรงตามความคาดหวังหรือไม่ Tester Program ประเภทนี้เหมาะกับการทดสอบที่ต้องการความละเอียดและการประเมินด้านการใช้งาน
ข้อดีของ Manual Testing
- คุ้มค่าในระยะสั้น ไม่ต้องลงทุนสูงในการเตรียมเครื่องมือหรือโค้ด
- เห็นปัญหาการใช้งานจริงได้ชัดเจนกว่า เพราะมีมุมมองของผู้ใช้
- เหมาะกับการทดสอบ UI/UX และความรู้สึกในการใช้งาน
- ไม่จำเป็นต้องมีทักษะการเขียนโค้ดระดับสูง
ข้อจำกัดของ Manual Testing
- ใช้เวลานานในการทำซ้ำหลาย ๆ รอบ
- อาจเกิดความผิดพลาดจากมนุษย์ โดยเฉพาะเมื่อต้องทดสอบข้อมูลจำนวนมาก
- ไม่สามารถจำลองการใช้งานพร้อมกันจากผู้ใช้จำนวนมากได้
ทีมงานนักทดสอบระบบแบบ Manual จะต้องมีความละเอียดรอบคอบและอดทนสูง เพื่อให้สามารถตรวจจับข้อผิดพลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Automated Testing (การทดสอบอัตโนมัติ)
Automated Testing คือการใช้เครื่องมือหรือสคริปต์ที่เขียนขึ้นเพื่อทำการทดสอบซอฟต์แวร์โดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องอาศัยการทำงานของมนุษย์ในทุกขั้นตอน วิธีนี้เป็นที่นิยมในองค์กรที่ต้องการประสิทธิภาพสูงในการทำ QA Testing กับระบบขนาดใหญ่ ทั้งในการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันและโมบายแอปพลิเคชัน
ข้อดีของ Automated Testing
- ประหยัดเวลาในการทดสอบซ้ำ ๆ หลังจากเขียนสคริปต์แล้ว
- สามารถสร้างการทดสอบที่ซับซ้อนและมีข้อมูลจำนวนมากได้
- จำลองการใช้งานพร้อมกันจากผู้ใช้หลายคนได้
- ลดความผิดพลาดจากมนุษย์ในการทดสอบซ้ำ
ข้อจำกัดของ Automated Testing
- ต้องลงทุนสูงในช่วงแรกทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย
- ต้องการทักษะการเขียนโค้ดและความรู้เฉพาะทาง
- ไม่เหมาะกับโปรเจกต์ระยะสั้นหรือที่มีการเปลี่ยนแปลง UI บ่อย
- อาจไม่สามารถตรวจจับปัญหาด้านความรู้สึกในการใช้งานได้เหมือนมนุษย์
ในการทำงานจริง QA tester คือผู้ที่มักใช้ทั้งสองวิธีร่วมกัน โดยเลือกใช้ให้เหมาะกับแต่ละสถานการณ์และความต้องการของโปรเจกต์
กระบวนการทดสอบซอฟต์แวร์: ขั้นตอนสำคัญที่ QA ต้องดูแล
การทดสอบซอฟต์แวร์ที่มีประสิทธิภาพไม่ใช่แค่การสุ่มทดลองใช้งาน แต่เป็นกระบวนการที่มีระบบแบบแผน ซึ่ง Engineer QA จะต้องดูแลในทุกขั้นตอนต่อไปนี้:
1. Unit Tests (การทดสอบหน่วยย่อย)
การทดสอบส่วนเล็ก ๆ ของโค้ดหรือฟังก์ชันเพื่อให้แน่ใจว่าทำงานได้ถูกต้อง มักทำทันทีหลังจากเขียนโค้ดส่วนนั้นเสร็จ เพื่อค้นหาข้อผิดพลาดตั้งแต่เนิ่น ๆ นี่เป็นขั้นตอนแรกของ QA Testing ที่ช่วยลดปัญหาในระยะยาว
2. Integration Tests (การทดสอบการทำงานร่วมกัน)
การตรวจสอบว่าส่วนต่าง ๆ ของระบบสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะเมื่อมีการเพิ่มโค้ดใหม่เข้าไปในระบบเดิม เป็นขั้นตอนที่ Software Tester คือผู้รับผิดชอบหลักในการดำเนินการ
3. Functional Tests (การทดสอบฟังก์ชันการทำงาน)
การทดสอบว่าระบบทำงานได้ตรงตามความต้องการทางธุรกิจหรือไม่ โดยดูว่าฟีเจอร์ต่าง ๆ ครบถ้วนและทำงานได้ตามที่ออกแบบไว้ ในขั้นตอนนี้ที่สำคัญมาก คือผู้ที่ต้องเข้าใจทั้งความต้องการทางธุรกิจและการทำงานของระบบ
4. User Acceptance Tests (การทดสอบการยอมรับของผู้ใช้)
การให้ผู้ใช้งานจริงหรือตัวแทนของพวกเขาได้ทดลองใช้ระบบ เพื่อยืนยันว่าตรงกับความต้องการและความคาดหวังของผู้ใช้ การทำ Q&A Testing ในขั้นตอนนี้จะช่วยให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์พร้อมสำหรับการใช้งานจริง
5. Usability Tests / UI Tests (การทดสอบความสะดวกในการใช้งาน)
การประเมินว่าผู้ใช้สามารถใช้งานซอฟต์แวร์ได้ง่ายและสะดวกเพียงใด รวมถึงการตรวจสอบส่วนติดต่อผู้ใช้ว่าเป็นมิตรและเข้าใจง่าย Tester Program ในส่วนนี้ต้องมีความเข้าใจในหลักการ UX/UI เป็นอย่างดี
การทดสอบแต่ละประเภทมีความสำคัญและจุดประสงค์ที่แตกต่างกัน QA Tester คือผู้ที่ต้องเข้าใจและสามารถวางแผนการทดสอบให้ครอบคลุมทุกมิติเหล่านี้เพื่อให้ QA Software มีคุณภาพสูงสุด
เอกสารสำคัญในงาน QA Testing
การทำงานด้าน QA Testing ไม่ใช่แค่การทดสอบเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวข้องกับการจัดทำเอกสารที่เป็นระบบเพื่อการติดตามและอ้างอิง เอกสารสำคัญที่ QA ควรรู้จักมีดังนี้:
- Test Plan – แผนการทดสอบที่มองภาพกว้าง กำหนดขอบเขตและแนวทางการทดสอบทั้งหมด
- Test Scenario – การจำลองสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นเมื่อใช้งานระบบจริง
- Test Data – ข้อมูลที่ใช้ในการทดสอบ ซึ่งควรเป็นข้อมูลที่ใกล้เคียงกับการใช้งานจริง
- Test Case – กรณีทดสอบที่ออกแบบเพื่อตรวจสอบฟังก์ชันและเงื่อนไขต่าง ๆ ของระบบ
- Test Script – ขั้นตอนที่ละเอียดในการทดสอบแต่ละกรณี
- Log Issue / Log Bug – บันทึกปัญหาหรือข้อบกพร่องที่พบระหว่างการทดสอบ
- User Acceptance Test (UAT) – เอกสารการทดสอบก่อนส่งมอบให้ผู้ใช้งานจริง
- User Manual – คู่มือการใช้งานระบบสำหรับผู้ใช้
การจัดทำเอกสารเหล่านี้อย่างเป็นระบบไม่เพียงช่วยให้การทดสอบมีประสิทธิภาพ แต่ยังเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงถึงคุณภาพของกระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์
ทักษะสำคัญสำหรับการเป็น QA Tester ที่ดี
การเป็น QA Tester คือ อาชีพที่ต้องมีทักษะหลากหลาย ไม่ได้ต้องการแค่ความรู้ทางเทคนิคเท่านั้น แต่ยังต้องมีทักษะหลายด้านประกอบกัน ดังนี้:
Technical Skills (ทักษะทางเทคนิค)
- ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับการเขียนโค้ดและภาษาโปรแกรมมิ่ง
- ความรู้เรื่อง Database และ SQL
- การใช้งาน Linux Command พื้นฐาน
- ความคุ้นเคยกับเครื่องมือจัดการการทดสอบ เช่น TestRail, Jira, Bugzilla
- ความรู้เกี่ยวกับเครื่องมือทดสอบอัตโนมัติ เช่น Selenium, Robot Framework, Cypress
Soft Skills (ทักษะด้านอื่น ๆ)
- ความละเอียดและช่างสังเกต – สามารถจับรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อาจเป็นจุดบกพร่องได้
- ทักษะการวิเคราะห์และการคิดเชิงตรรกะ – สามารถมองเห็นต้นตอของปัญหาและหาแนวทางแก้ไขได้อย่างเป็นระบบ
- ทักษะการสื่อสาร – สามารถอธิบายปัญหาที่พบได้อย่างชัดเจนและทำงานร่วมกับทีมอื่น ๆ ได้ดี
- การแก้ไขปัญหา – สามารถหาทางออกสำหรับปัญหาที่ซับซ้อนได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
- ความอดทน – พร้อมที่จะทำงานซ้ำ ๆ และตรวจสอบอย่างละเอียดโดยไม่ย่อท้อ
- ความคิดนอกกรอบ – สามารถมองเห็นสถานการณ์หรือการใช้งานที่อาจไม่ได้คาดคิดมาก่อน
การพัฒนาทักษะเหล่านี้อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้คุณกลายเป็น Engineer QA ที่มีค่าต่อทีมและองค์กร และสามารถทำ QA Testing ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เส้นทางสู่อาชีพ QA Testing: เริ่มต้นอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ
หากคุณสนใจที่จะก้าวเข้าสู่วงการ QA Testing แต่ยังไม่มีประสบการณ์ นี่คือขั้นตอนที่จะช่วยให้คุณเริ่มต้นได้อย่างมั่นใจ:
1. สร้างพื้นฐานความรู้
เริ่มจากการศึกษาหลักการพื้นฐานของการทดสอบซอฟต์แวร์ ไม่ว่าจะผ่านการเรียนในระบบ (เช่น สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ หรือเทคโนโลยีสารสนเทศ) หรือคอร์สออนไลน์ต่าง ๆ เช่น:
- คอร์สพื้นฐานจาก Udemy, Skilllane หรือ Software Park
- หลักสูตรฟรีจาก W3School สำหรับ Python และ SQL
- การฝึกอบรมเฉพาะทางด้าน QA Testing
2. ฝึกฝนทักษะที่จำเป็น
นอกจากความรู้ทางทฤษฎีแล้ว คุณควรฝึกฝนทักษะต่าง ๆ ดังนี้:
- เรียนรู้การใช้เครื่องมือทดสอบพื้นฐาน
- ฝึกเขียน Test Case และ Test Plan
- พัฒนาทักษะการวิเคราะห์และการแก้ไขปัญหา
- ฝึกการสื่อสารและการทำงานเป็นทีม
3. สร้างประสบการณ์
ประสบการณ์จริงเป็นสิ่งสำคัญในการเริ่มต้นอาชีพ คุณสามารถสร้างได้จาก:
- การฝึกงานในตำแหน่ง QA หรือ Tester
- การสร้างโปรเจกต์ส่วนตัวและทดสอบด้วยตัวเอง
- การเข้าร่วมโปรเจกต์โอเพ่นซอร์สและช่วยทดสอบ
- การสมัครงานในตำแหน่ง Entry Level หรือ Junior Tester
4. เพิ่มความน่าเชื่อถือด้วยใบรับรอง
การมีใบรับรองจากองค์กรที่น่าเชื่อถือจะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้งาน เช่น:
- ISTQB (International Software Testing Qualifications Board)
- ISCB (International Software Certification Board)
- ใบรับรองเฉพาะทางสำหรับเครื่องมือทดสอบต่าง ๆ
5. สร้างเครือข่ายและเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
- เข้าร่วมกลุ่มและชุมชนออนไลน์ด้าน QA Testing
- เข้าร่วมงานสัมมนาและการประชุมในวงการ
- ติดตามบล็อกและแหล่งความรู้ใหม่ ๆ เกี่ยวกับการทดสอบซอฟต์แวร์
- พูดคุยและเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญในวงการ
การก้าวเข้าสู่อาชีพ QA Testing อาจต้องใช้ความพยายามและเวลา แต่ด้วยความมุ่งมั่นและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง คุณสามารถพัฒนาตนเองให้เป็นนักทดสอบที่มีคุณค่าต่อองค์กรได้อย่างแน่นอน
บริการ QA Testing จาก RED CODE DEVELOPMENT
ที่ RED CODE DEVELOPMENT เราเข้าใจดีว่าการทดสอบ QA Software ที่มีคุณภาพเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของโปรเจกต์ของคุณ ด้วยทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์จากบริษัทชั้นนำในตลาดหลักทรัพย์ เราพร้อมมอบบริการทดสอบคุณภาพที่ครอบคลุมทุกความต้องการ:
บริการทดสอบระบบแบบครบวงจร
เราให้บริการทดสอบระบบตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงการส่งมอบ ครอบคลุมทั้ง Manual Testing และ Automated Testing ด้วยทีมงาน Engineer QA มืออาชีพที่เข้าใจทั้งด้านเทคนิคและความต้องการทางธุรกิจ
การวางแผนและออกแบบการทดสอบ
เราช่วยวิเคราะห์และออกแบบแผนการทดสอบที่เหมาะสมกับโปรเจกต์ของคุณ พร้อมจัดทำเอกสารที่จำเป็นทั้งหมด ตั้งแต่ Test Plan, Test Case ไปจนถึง User Acceptance Test โดย QA tester คือผู้ที่จะช่วยให้มั่นใจว่าระบบของคุณทำงานได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์
การทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัย
นอกเหนือจากการทดสอบฟังก์ชันการทำงาน เรายังเชี่ยวชาญในการทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยของระบบ เพื่อให้แน่ใจว่า QA Software ของคุณไม่เพียงแค่ใช้งานได้ แต่ยังทำงานได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย
บริการ QA แบบยืดหยุ่นตามงบประมาณ
เราเข้าใจว่าแต่ละธุรกิจมีความต้องการและงบประมาณที่แตกต่างกัน จึงนำเสนอบริการ QA Testing ที่ยืดหยุ่นและปรับให้เหมาะกับขนาดและความซับซ้อนของโปรเจกต์ ด้วยราคาที่คุ้มค่าที่สุด
รายงานและการวิเคราะห์ผลการทดสอบ
เราไม่เพียงแค่ทำการทดสอบ แต่ยังวิเคราะห์และจัดทำรายงานผลอย่างละเอียด พร้อมคำแนะนำในการปรับปรุงระบบ เพื่อให้คุณเห็นภาพรวมและตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การเลือกใช้บริการ Q&A Testing จาก RED CODE DEVELOPMENT คือ การลงทุนในคุณภาพของซอฟต์แวร์ที่จะช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในระยะยาว พร้อมสร้างความประทับใจให้กับผู้ใช้งานของคุณ
สรุป
QA Testing ไม่ใช่เพียงขั้นตอนสุดท้าย แต่เป็นกระบวนการสำคัญที่ควรอยู่ในทุกขั้นตอนของวงจรการพัฒนาซอฟต์แวร์ การลงทุนในคุณภาพตั้งแต่เริ่มต้นช่วยประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายในระยะยาว ที่ RED CODE DEVELOPMENT เราไม่เพียงเข้าใจว่า QA คืออะไร แต่ยังมุ่งมั่นพัฒนา QA Software ที่มีคุณภาพสูง เพื่อให้ธุรกิจของคุณสามารถสร้างความประทับใจและความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้งานได้อย่างยั่งยืน
คำถามที่พบบ่อย
ตำแหน่ง QA tester มีหน้าที่อะไรบ้าง?
งาน QA/Tester มีหน้าที่วางแผน วิเคราะห์ ศึกษา และทดสอบเพื่อค้นหาจุดบกพร่องของระบบ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือแอปพลิเคชันต่าง ๆ รวมถึงจัดทำรายงานผลการทดสอบในรูปแบบ Test Case และ Test Scenario ที่เป็นระบบ นอกจากนี้ยังมีบทบาทในการให้คำแนะนำจากมุมมองของผู้ใช้งาน และส่งต่อข้อมูลให้ทีมพัฒนาเพื่อดำเนินการแก้ไข ผู้ที่ทำงานในตำแหน่งนี้จำเป็นต้องมีความละเอียดรอบคอบสูงและมีความคิดสร้างสรรค์ในการทดสอบเพื่อให้ครอบคลุมทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น
QA กับ Software Tester ต่างกันอย่างไร?
Software Tester มีหน้าที่หลักในการค้นหาบั๊กหรือข้อผิดพลาดให้พบก่อนที่ผู้ใช้จะพบเจอเมื่อใช้งานจริง พร้อมกับตรวจสอบและจัดทำรายงานเกี่ยวกับประสิทธิภาพของซอฟต์แวร์ ในขณะที่ QA (Quality Assurance) จะมุ่งเน้นที่การควบคุมคุณภาพตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์มากกว่า บทบาทของ QA คือการสร้างความมั่นใจว่าซอฟต์แวร์นั้นมีคุณภาพตรงตามมาตรฐานและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างแท้จริง
QA Tester มีหน้าที่อะไรบ้าง?
หน้าที่ของ QA Tester / Manual Tester มีดังนี้:
- การทบทวนความต้องการและสเปก (Review Requirements and Specifications): ศึกษาและทำความเข้าใจข้อกำหนดและสเปกของซอฟต์แวร์เพื่อกำหนดขอบเขตและแนวทางการทดสอบ
- การออกแบบกรณีทดสอบ (Test Case Design): เขียนกรณีทดสอบและแผนการทดสอบเพื่อครอบคลุมทุกฟังก์ชันและคุณสมบัติของซอฟต์แวร์
- การดำเนินการทดสอบ (Test Execution): ดำเนินการทดสอบตามกรณีทดสอบที่ออกแบบไว้และบันทึกผลการทดสอบอย่างเป็นระบบ
- การวิเคราะห์และรายงานข้อผิดพลาด (Bug Reporting and Analysis): วิเคราะห์และบันทึกข้อผิดพลาดที่พบในระบบจัดการข้อผิดพลาด พร้อมประสานงานกับทีมพัฒนาเพื่อแก้ไข
การทดสอบการแก้ไข (Regression Testing): ดำเนินการทดสอบซ้ำหลังจากมีการแก้ไขข้อผิดพลาด เพื่อให้แน่ใจว่าการแก้ไขไม่ส่งผลกระทบต่อส่วนอื่น ๆ ของซอฟต์แวร์




