ในโลกดิจิทัลปัจจุบัน การสร้างเว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการมีอยู่ของ “Plugin” หรือ “ปลั๊กอิน” (โปรแกรมเสริม) ที่ช่วยให้เว็บไซต์มีความสามารถมากขึ้นโดยไม่ต้องเขียนโค้ดเอง วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ Plugin ให้มากขึ้น พร้อมทั้งเรียนรู้ประโยชน์และวิธีเลือกใช้ Plugin Website ให้เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ
Plugin คืออะไร?
Plugin หรือ ปลั๊กอิน ก็คือโปรแกรมเสริมที่เราเอามาติดตั้งเพิ่มเติมให้กับโปรแกรมหลัก เพื่อให้มันทำอะไรได้มากขึ้น ลองนึกภาพว่า Plugin เป็นเหมือนอุปกรณ์เสริมที่เราซื้อมาต่อกับมือถือ อย่างเลนส์เสริมสำหรับถ่ายรูป หรือเคสพิเศษที่มีแบตสำรอง – มันไม่ใช่ของที่มีมาตั้งแต่แรก แต่พอติดตั้งเข้าไปแล้ว ก็ทำให้เครื่องทำอะไรได้มากกว่าเดิม
ในโลกของเว็บไซต์ WordPress หรือระบบจัดการเนื้อหาอื่น ๆ Plugin WordPress ช่วยให้เราปรับแต่งเว็บได้แบบที่ต้องการ โดยไม่ต้องไปนั่งเขียนโค้ดเอง แค่คลิกติดตั้ง แล้วก็ตั้งค่านิดหน่อย เว็บเราก็จะมีฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นมาทันที
ยกตัวอย่างง่าย ๆ เวลาที่เราเปิดไฟล์หนังในคอมแล้วดูไม่ได้ เพราะโปรแกรมไม่รู้จักไฟล์แบบนี้ เราก็ต้องไปหา codec มาลง นั่นแหละครับ codec ก็คือ Plugin นั่นเอง หรือสมัยก่อนที่ต้องลง Flash Player ถึงจะดูวิดีโอบนเว็บได้ Flash Player ก็เป็น Plugin เหมือนกัน
Plugin สำหรับกลุ่มผู้ใช้งานต่าง ๆ (Persona)
แต่ละคนก็ต้องการ Plugin ไม่เหมือนกัน เหมือนเวลาเราเลือกซื้อเสื้อผ้า ก็ต้องเลือกให้เหมาะกับตัวเองใช่ไหมล่ะ มาดูกันว่าคนแต่ละแบบเขาชอบใช้ Plugin อะไรกันบ้าง:
1. เจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก (SME Owner)
พี่ ๆ เจ้าของร้านหรือธุรกิจเล็ก ๆ มักจะกำลังมองหา Plugin ที่ช่วยให้ขายของได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องจ้างทีม IT ราคาแพง ๆ เช่น:
- Plugin ทำ SEO แบบง่าย ๆ ให้ลูกค้าเจอเว็บเราบน Google ได้ไว
- Plugin สร้างร้านค้าออนไลน์ที่ตั้งค่าง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน
- Plugin เชื่อมร้านกับเพจ Facebook หรือ Line เพื่อคุยกับลูกค้าได้เลย
2. นักการตลาดดิจิทัล (Digital Marketer)
พวกนักการตลาดชอบ Plugin ที่ช่วยให้วิเคราะห์ข้อมูลได้แม่น ๆ และทำแคมเปญได้ง่ายขึ้น:
- Plugin ดูว่าคนเข้าเว็บเรามาจากไหน ทำอะไรบนเว็บบ้าง
- Plugin สร้างหน้าแลนดิ้งเพจสวย ๆ เพื่อเก็บอีเมลหรือเบอร์โทรลูกค้า
- Plugin ส่งอีเมลหาลูกค้าอัตโนมัติตามพฤติกรรมที่เขาทำบนเว็บ
3. นักพัฒนาเว็บไซต์ (Web Developer)
เหล่าโปรแกรมเมอร์และนักพัฒนาเว็บมักชอบ Plugin ที่ช่วยให้ทำงานเร็วขึ้น และคุมประสิทธิภาพเว็บได้ดีขึ้น:
- Plugin ช่วยจัดการโค้ดให้เป็นระเบียบและทำงานได้เร็วขึ้น
- Plugin ดูแลความปลอดภัย ป้องกันแฮกเกอร์และสแปม
- Plugin ที่ช่วยให้เว็บโหลดไวขึ้น กันลูกค้าเบื่อรอแล้วปิดเว็บหนี
4. ผู้สร้างเนื้อหา (Content Creator)
พวกที่ชอบทำคอนเทนต์ บล็อกเกอร์ หรือยูทูบเบอร์ จะชอบ Plugin ที่ช่วยให้สร้างและจัดการเนื้อหาได้สวยงาม:
- Plugin แต่งรูปในเว็บได้เลย ไม่ต้องใช้โฟโต้ชอป
- Plugin สร้างสไลด์โชว์สวย ๆ หรือใส่เอฟเฟกต์เจ๋ง ๆ ให้คอนเทนต์
- Plugin วางแผนโพสต์ล่วงหน้า ให้เราโพสต์อัตโนมัติตามเวลาที่ลูกค้าออนไลน์เยอะ ๆ
Plugin, Addon และ Extension แตกต่างกันอย่างไร?
แม้ว่าทั้ง Plugin (ปลั๊กอิน), Addon และ Extension จะมีจุดประสงค์เดียวกันคือเพิ่มความสามารถให้กับโปรแกรมหลัก แต่ก็มีความแตกต่างกันเล็กน้อย:
- Plugin – เป็นส่วนเสริมที่ใช้งานเฉพาะกับโปรแกรมหรือแอปพลิเคชันที่มีอยู่แล้ว มักมีฟังก์ชันเฉพาะที่จำเป็นสำหรับการใช้งานกับโปรแกรมนั้น ๆ และออกแบบมาให้ทำงานร่วมกันได้อย่างลงตัว Plugin WordPress คือตัวอย่างที่ชัดเจนของการพัฒนาส่วนเสริมที่ทำงานร่วมกับระบบหลักได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- Addon – คล้ายกับ Plugin แต่ไม่จำเป็นต้องมีความเข้ากันได้สูงกับโปรแกรมหลัก อาจมีลักษณะเป็นโปรแกรมเสริมที่ติดตั้งเพิ่มเติมเข้าไป ปลั๊กอินบางตัวอาจถูกเรียกว่า Addon ในบางบริบท
- Extension – มักใช้กับเว็บเบราว์เซอร์เพื่อเพิ่มฟังก์ชันการทำงาน สามารถใช้งานได้ทันทีหลังติดตั้ง ตัวอย่างเช่น Extension ของ Google Chrome ที่ช่วยเสริมการทำงานของเบราว์เซอร์ แตกต่างจาก Plugin Website ที่มักใช้งานบนแพลตฟอร์มการสร้างเว็บไซต์
ทำไมเว็บไซต์ต้องมี Plugin?
เว็บไซต์สมัยนี้ถ้าไม่มี Plugin ก็เหมือนกับรถที่ไม่มีอุปกรณ์เสริม – ใช้งานได้ แต่อาจจะไม่ตอบโจทย์ทุกอย่างที่เราต้องการ นี่แหละเหตุผลว่าทำไมคนถึงนิยมใช้ Plugin กันนัก:
- เพิ่มของเล่นให้เว็บ – ปลั๊กอิน (Plugin) ช่วยเติมฟีเจอร์เจ๋ง ๆ ที่เว็บธรรมดาไม่มี เช่น ทำร้านค้าออนไลน์, แบบฟอร์มติดต่อสวย ๆ, รูปสไลด์โชว์, หรือช่วยให้ติดหน้าแรก Google
- ปรับแต่งได้ตามใจชอบ – อยากให้เว็บมีหน้าตายังไง ก็เลือก Plugin มาติดตั้ง แล้วปรับแต่งได้เลย ไม่ต้องนั่งเขียนโค้ดให้ปวดหัว
- ประหยัดทั้งเงินทั้งเวลา – แทนที่จะจ้างโปรแกรมเมอร์มานั่งเขียนโค้ดทีละบรรทัด ก็แค่ใช้ Plugin WordPress ที่มีคนทำไว้แล้ว ช่วยประหยัดทั้งงบประมาณและเวลา
- ง่ายจนเด็กก็ทำได้ – ส่วนใหญ่ Plugin ถูกออกแบบมาให้ใช้ง่าย แค่คลิก ๆ ลาก ๆ ก็ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ แม้ไม่รู้เรื่องโค้ดเลยก็ทำได้
- อัปเดตให้ตลอด – คนทำ Plugin ส่วนใหญ่จะคอยอัปเดตให้มันทันสมัย แก้บั๊ก และเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ อยู่เรื่อย ๆ เราแค่กดอัปเดตก็ได้ของใหม่ใช้
Plugin ที่จำเป็นสำหรับเว็บไซต์ธุรกิจ
ถ้าคุณกำลังทำเว็บไซต์ธุรกิจอยู่ นี่คือ Plugin ฮิตติดลมบนที่เกือบทุกเว็บธุรกิจเขาใช้กัน:
- Yoast SEO – ตัวนี้เด็ดมาก! ช่วยปรับแต่งเว็บให้ติดอันดับบน Google ง่ายขึ้น ช่วยเช็กว่าเราเขียนเนื้อหายังไงให้ Google ชอบ และบอกว่าต้องแก้ตรงไหนบ้าง
- WooCommerce – อยากขายของออนไลน์ ตัวนี้ตอบโจทย์สุด ๆ เปลี่ยนเว็บธรรมดาให้กลายเป็นร้านค้าออนไลน์เต็มรูปแบบ มีระบบตะกร้า ชำระเงิน และจัดส่งในตัว
- WP Rocket – เว็บโหลดช้า ลูกค้าหนีหมด! ปลั๊กอินนี้ช่วยทำให้เว็บโหลดไวขึ้นเยอะ ด้วยเทคนิค Caching ซึ่งช่วยให้ลูกค้ารอดูเว็บเราน้อยลง
- Elementor – ถ้าไม่อยากจ้างนักออกแบบเว็บ ตัวนี้ช่วยคุณได้ ลากวางองค์ประกอบต่าง ๆ บนหน้าเว็บได้เลย ง่ายมาก! เป็น Plugin Website ยอดนิยมที่ใคร ๆ ก็ใช้กัน
- Contact Form 7 – อยากให้ลูกค้าติดต่อกลับมาได้ง่าย ๆ ตัวนี้ช่วยสร้างฟอร์มติดต่อสวย ๆ ได้หลายแบบ มีระบบป้องกันสแปม และส่งข้อความมาที่อีเมลเราได้เลย ซึ่งเป็นพื้นฐานที่ระบบ Low-code พัฒนาต่อยอดได้อีกเยอะ
การเลือก Plugin ตามประเภทเว็บไซต์และเป้าหมายธุรกิจ
ไม่ใช่แค่ว่าจะติดตั้ง Plugin อะไรก็ได้ ต้องเลือกให้เหมาะกับธุรกิจของเราด้วย เหมือนเลือกเครื่องมือให้เหมาะกับงาน มาดูกันว่าธุรกิจแต่ละแบบควรใช้ Plugin อะไรดี:
1. ธุรกิจค้าปลีก/ค้าส่ง (Retail Business)
พวกร้านค้าหรือธุรกิจขายสินค้า จำเป็นต้องมี Plugin พวกนี้:
- Plugin คุมสต๊อกสินค้า ไม่ให้ของหาย หรือขายเกินจำนวนที่มี
- Plugin รับชำระเงินหลายช่องทาง ทั้งบัตร โอน หรือชำระปลายทาง
- Plugin สะสมแต้ม ส่วนลด โปรโมชัน ให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ
2. ธุรกิจบริการ (Service Business)
สำหรับร้านทำผม คลินิก สปา หรือธุรกิจบริการอื่น ๆ:
- Plugin จองคิวออนไลน์ ให้ลูกค้าจองเวลาได้เอง 24 ชั่วโมง
- Plugin แสดงแพ็กเกจบริการต่าง ๆ พร้อมราคาสวย ๆ
- Plugin รีวิว ให้ลูกค้าเก่าช่วยการันตีว่าบริการเราดีแค่ไหน
3. ธุรกิจสตาร์ตอัป (Startup)
พวกธุรกิจใหม่ที่กำลังเติบโต ต้องการความคล่องตัวสูง:
- Plugin ดูพฤติกรรมลูกค้าแบบเรียลไทม์ เพื่อปรับกลยุทธ์ได้ไว
- Plugin ทดสอบว่าดีไซน์แบบไหนที่ลูกค้ากดซื้อมากสุด
- Plugin เชื่อมกับ CRM หรือระบบการตลาดที่ใช้อยู่ ให้ทำงานไปในทิศทางเดียวกัน
วิธีติดตั้ง Plugin WordPress
ติดตั้ง Plugin ไม่ยากอย่างที่คิด แค่ทำตามขั้นตอนง่าย ๆ นี้:
- เข้าไปที่หลังบ้านเว็บ WordPress ของคุณก่อน (ล็อกอินด้วย username และ password)
- มองหาเมนู “Plugins” ทางซ้ายมือ แล้วคลิกที่ “Add New”
- พิมพ์ชื่อ Plugin ที่อยากได้ในช่องค้นหา หรือเลือกดูจากหมวด “Popular” ก็ได้
- เจอแล้วกดปุ่ม “Install Now” เลย (รออีกนิดนึง)
- พอติดตั้งเสร็จ กดปุ่ม “Activate” ต่อเลย เพื่อเปิดใช้งาน
- เข้าไปตั้งค่า Plugin ตามที่ต้องการ (ส่วนใหญ่จะมีเมนูเพิ่มมาให้ทางซ้ายมือ หรือตรง Settings)
เลือก Plugin อย่างไรให้เหมาะสม
ระวัง! การเลือก Plugin แบบมั่ว ๆ อาจทำให้เว็บพัง หรือโดนแฮก ลองทำตามคำแนะนำนี้:
1. เช็กความปลอดภัยก่อน
เลือก Plugin ที่มีคนใช้เยอะ ๆ มีการอัปเดตบ่อย ๆ และมีคะแนนรีวิวดี ๆ เยอะ ๆ ลองอ่านรีวิวด้วยว่ามีใครบ่นเรื่องความปลอดภัยไหม หรือโดนแฮกหลังจากใช้ไหม
2. ดูว่าเข้ากับเว็บเราไหม
เหมือนซื้อเสื้อ ต้องลองใส่ก่อนว่าพอดีไหม Plugin ก็เช่นกัน ต้องเลือกให้เหมาะกับเว็บเรา อย่าติดตั้ง Plugin ที่มีฟังก์ชันเยอะเกินความจำเป็น เพราะจะทำให้เว็บหนักและช้า
3. มองการณ์ไกล
เลือก Plugin ที่ยังมีคนพัฒนาอยู่ ไม่ใช่โดนทิ้งร้างไว้หลายปีแล้ว เพราะถ้า WordPress อัปเดตเวอร์ชันใหม่ แต่ Plugin ไม่อัปตาม อาจทำให้เว็บพังได้
4. ดูซัพพอร์ตด้วย
Plugin ดีต้องมีทีมซัพพอร์ตที่ตอบคำถามเร็ว ช่วยแก้ปัญหาได้ ลองเข้าไปดูในฟอรั่มหรือเพจซัพพอร์ตของ Plugin นั้น ๆ ว่าเขาตอบคำถามเร็วแค่ไหน หรือช่วยแก้ปัญหาได้ดีแค่ไหน
ปัญหาที่อาจพบเมื่อใช้งาน Plugin
แม้ว่า Plugin จะดีแค่ไหน แต่บางครั้งก็อาจมีปัญหาได้ มาดูกันว่ามีปัญหาอะไรบ้างที่เราอาจเจอ:
- ติดตั้งไม่ได้ – บางทีเราอาจติดตั้ง Plugin ไม่ได้ อาจเป็นเพราะเซิร์ฟเวอร์ของเรารองรับไม่ได้ Theme ที่ใช้เข้ากันไม่ได้ หรือมี Plugin อื่นที่ขัดแย้งกัน
- ขึ้น Error “couldn’t load plugin” – ถ้าเจอแบบนี้ ลองเช็กว่าติดตั้งครบไหม บางทีไฟล์อาจหายไป ลองติดตั้งใหม่ดู หรือติดต่อคนทำ Plugin Website ถ้ายังไม่หาย
- เว็บโหลดช้าลงเหมือนเต่า – ถ้าติดตั้ง Plugin เยอะเกิน หรือใช้ Plugin WordPress ตัวใหญ่ๆ ที่กินทรัพยากรเยอะ เว็บอาจจะช้าลงได้ ลองปิด Plugin ที่ไม่จำเป็นดู
- Plugin ทะเลาะกัน – บางครั้ง Plugin หลาย ๆ ตัวอาจทำงานขัดแย้งกัน ทำให้บางฟังก์ชันพัง หรือเว็บแสดงผลแปลก ๆ ถ้าเจอแบบนี้ ควรใช้บริการทดสอบซอฟต์แวร์ มาช่วยหาสาเหตุและแก้ไข
ประเภทของเว็บไซต์ WordPress ที่ต้องใช้ Plugin
WordPress เป็นแพลตฟอร์มที่ยืดหยุ่นสุด ๆ สร้างเว็บได้แทบทุกประเภท แต่ละประเภทก็ต้องการ Plugin คนละแบบ:
- เว็บบล็อก – สำหรับคนชอบเขียน แชร์เรื่องราว ความรู้ หรือรีวิว ควรมี Plugin เกี่ยวกับ SEO อย่าง Yoast SEO และ Plugin ป้องกันสแปมอย่าง Akismet
- เว็บบริษัท – เว็บที่บอกว่าบริษัทคุณทำอะไร ขายอะไร ติดต่อยังไง ควรมี Plugin ที่ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ เช่น แผนที่ แบบฟอร์มติดต่อ หรือโชว์ผลงาน
- ร้านค้าออนไลน์ – เว็บขายของต้องมี Plugin อย่าง WooCommerce ที่ช่วยจัดการสินค้า ตะกร้า และระบบชำระเงิน
- เว็บพอร์ตโฟลิโอ – สำหรับนักออกแบบ ช่างภาพ หรือศิลปิน ควรมี Plugin ที่ช่วยแสดงผลงานแบบสวย ๆ เช่น แกลเลอรี่รูปภาพ หรือสไลด์โชว์
- เว็บการศึกษา – เว็บที่สอนหรือขายคอร์สเรียน ควรใช้ Plugin เฉพาะทางด้านการศึกษา ที่มีระบบจัดการคอร์สเรียน ข้อสอบ หรือวิดีโอสอน
- เว็บข่าวสาร – เว็บที่อัปเดทข่าวตลอดเวลา ต้องการ Plugin ที่มีประสิทธิภาพ ที่ช่วยแสดงข่าวล่าสุด แยกหมวดหมู่ข่าว และโหลดเร็ว ๆ
บริการพัฒนา Plugin แบบ Custom จาก RED CODE DEVELOPMENT
ที่ RED CODE เราเข้าใจดีว่าบางทีคุณอาจหา Plugin สำเร็จรูปที่ตรงใจไม่ได้ 100% เราเลยมีบริการพัฒนา Plugin แบบเฉพาะตัวให้ธุรกิจคุณ:
1. สร้าง Plugin WordPress แบบสั่งทำพิเศษ
เราออกแบบและเขียน Plugin เฉพาะสำหรับธุรกิจคุณ ไม่ว่าจะเป็นระบบจัดการลูกค้า, ระบบจองของ, หรือฟีเจอร์พิเศษที่คุณอยากได้แต่หาไม่เจอในตลาด
2. ปรับแต่ง Plugin ที่มีอยู่แล้วให้เข้ากับธุรกิจคุณ
บางทีคุณเจอ Plugin ที่ใช่แล้ว แต่อยากให้มันทำอะไรเพิ่มอีกนิดหน่อย เราช่วยปรับแต่ง เพิ่มฟีเจอร์ หรือแก้ไขให้มันทำงานแบบที่คุณต้องการได้
3. ดูแล Plugin ให้ตลอด
เราไม่ใช่แค่ทำ Plugin ให้แล้วหายไป แต่เรายังคอยดูแล อัปเดต และแก้ไข Plugin ให้คุณตลอด เพื่อให้มันทำงานได้ดีและปลอดภัยตลอดเวลา
4. แก้ปัญหา Plugin ที่เกิดขึ้น
เจอปัญหา Plugin ไม่ทำงาน, ขัดแย้งกัน, หรือมีบั๊กแปลก ๆ? ทีมเทคนิคของเราพร้อมช่วยตรวจสอบและแก้ไขให้กลับมาใช้งานได้ดีเหมือนเดิม
5. ให้คำปรึกษาเรื่อง Plugin
เราทำงานกับ Low-code Platform และ Plugin มาหลายปี เราช่วยแนะนำได้ว่าควรใช้ Plugin อะไร, ใช้ยังไงให้มีประสิทธิภาพ, และควรระวังอะไรบ้าง
สรุป
Plugin หรือ ปลั๊กอิน เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเพิ่มความสามารถให้กับเว็บไซต์ของคุณ ทำให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ได้ดียิ่งขึ้น การเลือกใช้ Plugin WordPress อย่างเหมาะสมไม่เพียงช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย แต่ยังช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่ RED CODE DEVELOPMENT เรามุ่งมั่นให้บริการพัฒนาและดูแล Plugin ที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของธุรกิจคุณ ด้วยทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมช่วยให้เว็บไซต์ของคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
คำถามที่พบบ่อย
Plugin คืออะไร?
Plugin คือ โปรแกรมเสริมที่ติดตั้งเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มความสามารถให้กับโปรแกรมหลัก เช่น WordPress ช่วยให้เว็บไซต์มีฟังก์ชันมากขึ้นโดยไม่ต้องเขียนโค้ดเอง เสมือนเป็นส่วนเสริมที่ทำให้เว็บทำงานได้หลากหลายและตอบโจทย์ธุรกิจมากขึ้น
Plugin และ Extension ต่างกันอย่างไร?
Plugin มักใช้กับโปรแกรมหลักเฉพาะทาง เช่น WordPress และถูกพัฒนาให้ทำงานร่วมกับโปรแกรมนั้นโดยเฉพาะ ส่วน Extension มักใช้กับเว็บเบราว์เซอร์ เช่น Chrome และมีลักษณะการทำงานที่เป็นอิสระมากกว่า แต่ทั้งสองอย่างมีจุดประสงค์เดียวกันคือเพิ่มความสามารถให้กับโปรแกรมหลัก
Plugin ใดบ้างที่จำเป็นสำหรับเว็บไซต์ธุรกิจ?
Plugin จำเป็นสำหรับเว็บธุรกิจมีหลายตัว เช่น Yoast SEO สำหรับปรับแต่งให้ติดอันดับใน Google ดีขึ้น WooCommerce สำหรับสร้างร้านค้าออนไลน์ WP Rocket ช่วยให้เว็บโหลดเร็วขึ้น Elementor สำหรับออกแบบหน้าเว็บสวย ๆ และ Contact Form 7 สำหรับสร้างฟอร์มติดต่อ




